รีวิวหนัง | TRIANGLE OF SADNESS (2022)
รีวิวหนัง | TRIANGLE OF SADNESS (2022)
TRIANGLE OF SADNESS มันยอร์ชมาก
- ประเภท: ตลก
- ผู้กำกับ: รูเบน ออสต์ลุนด์
- นำแสดงโดย: แฮร์ริส ดิกคินสัน, ชาร์ลบิ ดีน เครียก, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน
- ความยาว: 147 นาที
“Triangle of Sadness มันยอร์ชมาก” เล่าเรื่องราวของ “คาร์ล” กับ “ญาญ่า” หนุ่มสาวที่กำลังสำรวจโลกแห่งวงการแฟชั่นไปพร้อมๆ กับขอบเขตความสัมพันธ์ของพวกเขาเอง ทั้งคู่ได้รับเชิญให้ลงเรือลำหรู ที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารระดับไฮคลาสและทรงอิทธิพลมากมาย เมื่อเรือแล่นออกสู่ท้องทะเล ก็ดูเหมือนว่าพายุกำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้น คลื่นลมทะเลทำให้คนทั้งลำเรือมีอาการเมาคลื่น และกระทบต่อมื้ออาหารค่ำ ทำให้กัปตันสั่งให้ปิดฉากโปรแกรมท่องเรือครั้งนี้
แต่ปรากฏว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาทั้งคู่จะพบว่าถูกทิ้งเอาไว้บนเกาะร้างที่เต็มไปด้วยมหาเศรษฐีกับบริกรอีกหนึ่งคน ซึ่งดูเหมือนว่าสถานการณ์ต่างๆ พลิกไปอีกขั้วทันที เพาะดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงบริกรเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่รู้จักวิธีจับปลาและเอาตัวรอดจากวิกฤตติดเกาะครั้งนี้ พวกเขาจะสามารถเขาตัวรอดจากสถานการณ์วิกฤตครั้งสำคัญแห่งชีวิตครั้งนี้ได้อย่างไรกัน?
เอาเป็นว่าแค่เห็นชื่อผู้กำกับ “รูเบน ออสต์ลุนด์” คุณน่าจะต้องตั้งแง่กับผลงานของเขาก่อนแล้วแน่ๆ เพราะเขาจัดได้ว่าเป็นนักสร้างหนังสายเทศกาลเป็นส่วนใหญ่ แต่ผลงานที่ผ่านๆ มาของเขา อย่าง The Square หรือ Force Majeure ต่างก็เป็นที่ประจักษ์ระดับนานาชาติด้วยกันทั้งสิ้น และครั้งนี้เขาก็ยังกลับมาทั้งกำกับและเขียนบทหนังเองเช่นเคย พร้อมกับการใส่ลูกเล่นประเด็นส่อเสียดสังคมที่เป็นสไตล์และเสน่ห์จากปลายปากกาของเขาเอาไว้ในเรื่องนี้ ที่น่าประหลาดใจเหมือนกันที่ Triangle of Sadness มันกลายเป็นหนังที่ย่อยได้ง่ายมาก
“Triangle of Sadness” แบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 3 องก์หลักๆ ที่ล้วนแต่สอดแทรกประเด็นเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ และทุกองก์ก็ได้หยิบยกประเด็นของความเท่าเทียมกัน หรือ Equal มาพูดทั้งสิ้น องค์แรกที่เน้นไปที่คู่พระนางวัยหนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในช่วงวัยค้นหาตัวเองและหาเงินสร้างชีวิตของพวกเขาเอง เป็นองก์ที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่แสบสันต์พอให้เกิดรอยถลอกได้อยู่ ก่อนมาในองก์ที่ 2 อยู่บนเรือยอร์ชสุดหรรษา ที่องก์นี้จัดเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างสุดโต่ง ทุกอย่างสื่อได้ถึงการแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน และล้อเลียนพฤติกรรมพวกคนรวย-คนมีเงินได้อย่างทะเยอทะยาน
ขณะที่องก์ที่ 3 ที่เป็นองก์สุดท้ายของหนัง นับว่าเป็นจุดเปลี่ยน (game changer) สถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนผันไปหมด แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งประเด็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมฉาบหน้าหนังเอาไว้เช่นเดิม และที่สะใจไปยิ่งกว่านั้นคือพล็อตหักมุมของหนัง ที่น่าตกใจพอๆ กับสไตล์หนังของ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน อะไรทำนองนั้น ไปได้สุดทางและจี้อารมณ์ได้สุดขั้น โดยเฉพาะการเลือกที่จะทิ้งคำปลายเปิดเอาไว้เป็นฉากจบของหนังเช่นนั้น เป็นหนึ่งในซีนที่ทำให้ประเด็นมากๆ ทีเดียว
ฝั่งการแสดงของทีมนักแสดงใน “Triangle of Sadness” คืออยากลุกปรบมือให้เลย หนังไม่ได้แค่โฟกัสที่ 2 แคสติ้งหลัก อย่าง “แฮร์ริส ดิกคินสัน” กับ “ชาร์ลบิ ดีน เครียก” เท่านั้น ถือว่าหนังเรื่องนี้ได้สร้าง equal ให้กับนักแสดงคนอื่น ๆ ได้อย่างเหมาะสมที่เดียว เพราะนักแสดงสมทบเล็ก ๆ น้อย ๆ คนอื่นล้วนมีซีนที่โดดเด่นและน่าจดจำเป็นของตัวเองทั้งนั้น น่าทึ่งที่ทุก ๆ ตัวละครต่างมีมิติและความคิดแบบฉบับตัวเอง ตามจุดยืนและบริบทของสังคมในจุดนั้น ๆ
แฮร์ริส ดิกคินสัน มีเสน่ห์และเห็นถึงพัฒนาการของหนุ่มคนนี้เยอะขึ้นมากๆ เราเคยเห็นเขาตั้งแต่เดบิวต์เล่นหนังเรื่องแรกๆ บัดนี้เรารู้สึกเขามีประสบการณ์ที่มากขึ้น และมองเห็นถึงศักยภาพของเขาในอนาคตที่น่าจะขึ้นเป็นนักแสดงแถวหน้าคนต่อไปของวงการได้ไม่ยากเลย ขอแค่เพียงมีโอกาสและจังหวะที่เหมาะสมกับเขา เขาคือเพชรที่พร้อมที่จะเจิดจรัสจริงๆ ขณะที่ ชาร์ลบิ ดีน เครียก ที่เรื่องนี้กลายเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเธอ เพราะเพิ่งจะเสียชีวิตจากอาการป่วยก่อนที่จะได้ออกฉายทั่วโลกไม่นาน บอกเลยว่า..น่าเสียดายมาก
ชาร์ลบิ ดีน เครียก ให้การแสดงที่น่าค้นหาอยู่ไม่น้อย แม้ว่าประสบการณ์อาจจะยังไม่มาก แต่จากหนังเรื่องนี้น่าจะกลายเป็นลู่ทางให้เธอได้ต่อยอดไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ไม่น้อย ถือว่าเป็นหน้าใหม่ที่น่าจับตามอง เพียงแต่ตอนนี้เธอไม่มีโอกาสได้สานต่อมันอีกแล้ว และอีกคนคือ “วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน” ที่มากน้อยแต่บรรลัยมากจริงๆ คนนี้ ไม่ต้องสาธยายเกี่ยวกับความเป็นมืออาชีพของเขา โผล่ออกมาแค่ 1 ใน 4 ส่วนของเรื่องเท่านั้น แต่ก็สร้างอิทธิพลเอาไว้ได้ทรงพลังไม่เบา
โดยสรุปแล้วนั้น “Triangle of Sadness มันยอร์ชมาก” อาจจะบอกได้ว่าเป็นหนังจากเมืองคานส์เรื่องแรกเลยด้วยซ้ำ ที่สามารถสร้างความบันเทิงระหว่างการดูตลอดทั้งเรื่องได้เช่นนี้ นี่คือหนังเสียดสีสังคมที่แสบสันต์แบบจี๊ดได้เรื่องอีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นหนังสายรางวัล แต่เรากล้าพูดได้เลยว่า…มันสนุก และมันดูง่าย ย่อยง่าย กว่าที่คุณคิดมาก เพราะกะจะเข้าไปตั้งรับกับการดูหนังแบบตีความ แต่สิ่งที่ได้กลับออกมานั้นคือความบันเทิงล้วนๆ เลย
- ภาพรวม
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10) - การเล่าเรื่อง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10) - การแสดง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10) - เทคนิคงานสร้าง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10) - บทภาพยนตร์
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10)
รับชมตัวอย่างหนัง : Triangle of Sadness (2022)
ติดตามรีวิวหนังเพิ่มเติมได้ที่ : เว็บรีวิวหนังออนไลน์
ติดตามหนังได้ที่ : ดูหนังออนไลน์ฟรี
รับชมหนังหนังฟรีออนไลน์ได้ที่ : ดูหนังTRIANGLE OF SADNESS
รีวิวหนังใหม่เพิ่มเติมได้ที่ : ดูรีวิวหนังPOJAMARN THE LEGACY